Disruption ในอเมริกา และ Digital transformation ในปัจจุบัน
อิโตชู เทคโน โซลูชั่น อเมริกา อินคอร์ปอร์เรชั่น (ITOCHU Techno-Solutions America, Inc. ) (CTC America)
กรรมการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ (Director, Business Development)
มัตซึโมโตะ วาตารุ (Matsumoto Wataru)
Disruption กำลังเพิ่มขึ้น องค์กรในปัจจุบันจำเป็นต้องมี DX อย่างไร เพื่อให้อยู่รอดต่อไปได้
ช่วงอายุของกิจการกำลังสั้นลงทุกปี โดยอายุเฉลี่ยขององค์กร 500 อันดับแรกของอเมริกา ในปี 1955 คือ 75 ปี ในขณะที่ผ่านมา 60 ปี ให้หลังในปี 2015 ลดลงอย่างมากจนกลายเป็น 15 ปี สาเหตุหลักที่อายุขัยของกิจการลดลงก็คือ “Disruption” นั่นเอง องค์กรร่วมลงทุนที่ใช้เทคโนโลยีล่าสุด เช่น AI (Artificial Intelligence), IoT, Blockchain กำลังเร่งดำเนินการเพื่อทำลายรูปแบบธุรกิจและโครงสร้างอุตสาหกรรมที่มีอยู่
องค์กรขนาดใหญ่ที่มีส่วนแบ่งในตลาดเรียบร้อยแล้ว ก็กำลังพยายามต่อสู้กับการคุกคามของ Disruption ด้วย Digital transformation (DX:การปฏิรูปแบบดิจิตอล) ซึ่งจะทำให้กระบวนการทางธุรกิจที่มีอยู่แล้ว กลายเป็นระบบดิจิตอลแบบอัตโนมัติที่สามารถทำงานได้เอง
องค์กรปัจจุบันจำเป็นต้องมี DX อย่างไร เพื่อให้อยู่รอดต่อไปได้จริง เชิญมาลองพิจารณาร่วมกันจากกรณีตัวอย่างของอเมริกา
Airbnb, Uber, Amazon องค์กรผู้ทำลาย
มัตสึโมโตะ วาตารุ ผู้บรรยายได้แนะนำผู้ทำลาย (Disruptor) ที่มีชื่อเสียงของอเมริกา 3 บริษัท
คุณมัตสึโมโตะ กล่าวว่า “ ‘Airbnb’ เว็บไซต์สำหรับพักแรมแบบส่วนตัว ทำยอดขายเป็นอันดับที่ 2 ของโลก แซงเครือฮิลตันซึ่งเป็นเครือข่ายโรงแรมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับว่าเป็นผู้ทำลายที่กล้าหาญและสง่างามในอุตสาหกรรมการบริการ”
Airbnb ได้วาง Cloud Native เป็นนโยบายการบริหารตั้งแต่เริ่มกิจการ และจัดการกับ Traffic ทั้งหมดด้วยคลาวด์ รวมถึงใช้บริการทั้งระบบฐานข้อมูลและคลาวด์ ทั้งยังนำความยืดหยุ่นเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์กับธุรกิจ ปัจจุบันการพัฒนาแอพพลิเคชั่นเอง ก็กำลังเปลี่ยนการบริการขนาดเล็กจำนวนมากไปสู่การใช้ Microservices ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ที่ไม่ขึ้นต่อสิ่งอื่น (Loosely coupled) ด้วย API และมุ่งเร่งการพัฒนา/แก้ไข
บริษัทที่ 2 “Uber” เว็บไซต์จัดส่งรถยนต์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง
Uber คือ ผู้เพิ่มยอดขายการบริการ Car-Sharing ขึ้นมา เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ของนิวยอร์กในปี 2019 ครบรอบก่อตั้งกิจการเข้าสู่ปีที่ 10 และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดประมาณ 82 พันล้านเหรียญจนกลายเป็นที่กล่าวถึง
แต่ทั้งนี้ ปี 2019 ยอดขายกลับมีตัวเลขขาดทุนอยู่ 5.2 พันล้านเหรียญ ซึ่งกลยุทธ์ที่ถูกหยิบมาใช้หลังจากนั้นก็คือ MaaS (Mobility as a Service)
MaaS เป็นการให้บริการเคลื่อนที่แบบครบวงจร ทั้งยังสามารถเชื่อมโยงวิธีการคมนาคม เช่น รถยนต์ รถบัส รถไฟ เครื่องบิน ได้อย่างไร้รอยต่อ โดยมาในรูปแบบบริการและเนื้อหา เพื่อให้สามารถจองและชำระเงินบนแพลตฟอร์มเดียวกันได้
ไม่จำกัดแค่เพียงอุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นวิธีการที่มีพลังในการทำลายถึงขนาดที่ดึงผู้ประกอบการบริการคมนาคมทั้งหมดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และสามารถเปลี่ยนระบบการคมนาคมที่มีอยู่อย่างสิ้นเชิงได้เลยทีเดียว
บริษัทที่ 3 คือ Amazon ซึ่งคุณมัตซึโมโตะเรียกว่าเป็น “Disruptor ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์”
Amazon มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดคิดเป็น 2.7 เท่า เมื่อเทียบกับ “Walmart” เครือข่ายซุปเปอร์มาร์เก็ตผู้ภาคภูมิใจในยอดขายสูงสุดในโลกของตน
โดยบริษัทดังกล่าวได้พัฒนาดำเนินการสร้างเครือข่ายการจัดส่ง “Last One Mile” ส่งสินค้าที่สั่งซื้อทางไปรษณีย์และทางอินเตอร์เน็ตถึงมือผู้บริโภคอย่างราบรื่นและแน่นอน
ในปี 2017 Amazon ได้ซึ้อ Whole Foods Market ซึ่งเป็น Super Chain ที่ดำเนินกิจการในอเมริกา แคนาดา อังกฤษ และยังได้ร้านจำนวน 500 สาขามาครอบครอง เพื่อเป็นฐานกระจายสินค้า และยังลงทุนในด้านการจัดเตรียมคนขับรถของบริษัทตนเองเอาไว้อีกด้วย
โดยพยายามที่จะใช้เครือข่ายจัดส่งขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเองจนเกือบจะสำเร็จแล้วตอนนี้ ทั้งทำหน้าที่ให้บริการส่วนลด และยังให้บริการจัดส่งทันทีอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น Amazon Prime Now เพื่อสร้างความแตกต่างจาก Walmart
Walmart กำลังดำเนินการด้าน DX อย่างสุดความสามารถ
แล้วองค์กรขนาดใหญ่ที่พยายามต่อสู้กับ Disruptor ที่แข็งแกร่งขึ้นมากด้วย DX เช่นนี้ กำลังทำอะไร?
Walmart เริ่มให้บริการจัดส่งสินค้าบริโภคถึงบ้านด้วยระบบสมาชิกและดำเนินการโดยใช้สินค้าบริโภคสดใหม่ในแบบอีคอมเมิร์ซ
คุณมัตซึโมโตะอธิบายเชิงวิเคราะห์ว่า “การกระจายสินค้าปลีก มี 2 ประเภท ได้แก่ Curbside Pickup ซึ่งมี Walmart เป็นผู้นำและดำเนินการมาก่อนหน้าแล้ว ในขณะที่ Amazon สร้างความแตกต่างได้ใน Inline Grocery (E-Commerce อาหารและสินค้าเบ็ดเตล็ด)”
Curbside Pickup คือ การบริการรับสินค้าที่สั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตจากพนักงานร้านค้า โดยที่ไม่ต้องลงจากรถที่ลานจอดรถของร้านค้า นอกจากนี้ Walmart ยังสร้างความแตกต่างจาก Amazon ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การใช้บริการจัดส่งในราคาเดียวที่สามารถใช้งานจัดส่งของชำได้ไม่จำกัดปริมาณในราคา 98 เหรียญต่อปีอีกด้วย
เครือข่ายการจัดส่ง Last One Mile เป็นกุญแจทำให้การบริการเฉพาะตัวเป็นจริงขึ้นได้ โดยไม่ได้เป็นเครือข่ายที่สร้างขึ้นเอง แต่มีแนวโน้มที่จะเตรียมการขึ้นโดยรวมรวบบริษัทสตาร์ทอัพหลายแห่งเข้าด้วยกัน
Walmart ทุ่มเททำ DX จริงจังขนาดไหน ทราบได้จากการที่มีการจัดตั้งแผนกที่ชื่อว่า Walmart Labs เพิ่มเข้าไปในบริษัท ซึ่งแผนกดิจิตอลนี้ มีหน้าที่พัฒนาแอพพลิเคชั่นและวิเคราะห์ข้อมูล บรรจุผู้เชี่ยวชาญหลายพันคนอยู่ในสังกัด โดย Walmart มีความกระตือรือร้นที่จะกว้านซื้อองค์กรระดับยอดเยี่ยมในซิลิคอนแวลลีย์ เพื่อจัดหาบุคลากรและเทคโนโลยีเข้าไปยัง Walmart Labs อย่างต่อเนื่อง
Walmart จึงเป็นทั้งผู้ค้าปลีกและองค์กรเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ซึ่งมีเทคโนโลยีทันสมัยที่สุดรวมไว้อีกด้วย
DX ที่มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องใช้พลังของบุคคลระดับ TOP ในแผนก IT
เราทราบผลจากการดำเนินการของ Walmart แล้วว่าองค์กรปัจจุบันอยู่รอดได้ด้วย DX ที่มีประสิทธิภาพอย่างจริงจัง และเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นแล้ว ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ DX ในอนาคตกันล่ะ?
คุณมัตซึโมโตะเน้นย้ำว่า “DX จำเป็นต้องมีการปฏิรูป 3 อย่าง ได้แก่ การปฏิรูปรูปแบบธุรกิจ (Business Model), การปฏิรูปการดำเนินธุรกิจ (Business Operation) และการปฏิรูประบบ (System) และในการปฏิรูประบบเพื่อ DX จำเป็นต้องมีการนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดมาใช้ ด้วยเหตุนี้เองส่วนแรกสุดของแผนก IT อย่าง CTO จึงต้องรับบทบาทสำคัญใน DX”
CTC ใช้ “พลังในการแยกแยะตัดสิน” กับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ค้นหาองค์กรสตาร์ทอัพที่ยอดเยี่ยมจากทั่วโลกและขยายขอบเขตการร่วมมือดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ณ สถานที่จัดแสดงใน Forum ครั้งนี้ มีองค์กรสตาร์ทอัพ 6 บริษัทจากซิลิคอนแวลลีย์ และ ประเทศจีน/เซินเจิ้น (Shenzhen) มาเข้าร่วมออกบูธด้วย
การจัดเตรียมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดเพื่อนำเสนอให้กับลูกค้าก็เป็นหน้าที่สำคัญของ CTC เช่นกัน